วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ตลาดร้อยปีสามชุก (การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์)


ตลาดร้อยปีสามชุก จ.สุพรรณบุรี เป็นตลาดห้องแถวไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) และรายล้อมด้วยบรรยากาศของบ้านเรือนรวมถึงเรื่องราวของผู้คนในอดีต โดยแทบไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่ง ย้อนอดีตกลับไปยุคสมัยที่ตลาดสามชุกเฟื่องฟู ยุคนั้นชาวบ้านจะนำของพื้นเมือง รวมทั้ง เกลือ ฝ้าย แร่ สมุนไพร มาแลกเปลี่ยนซื้อขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ
ต่อมาเมื่อริมแม่น้ำสุพรรณ กลายเป็นแหล่งทำนาที่สำคัญ มีโรงสีไฟขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายแห่ง ตลาดสามชุกก็กลายเป็นตลาดข้าวที่สำคัญ มีการค้าขายกันอย่างคึกคัก ทำให้ตลาดสามชุกไม่จำกัดบริเวณอยู่เฉพาะริมน้ำ แต่ยังขยายมาถึงริมฝั่ง โดยแต่ละปีมีการเก็บภาษีได้จำนวนมาก พร้อมๆกับมีการตั้งนายอากรคนแรก ชื่อ “ขุนจำนง จีนารักษ์”

ช่วงเวลาเฟื่องฟูของตลาดสามชุกกินเวลานานหลายสิบปี แต่หลังจากที่มีการตัดถนนผ่านสามชุก ผู้คนเปลี่ยนไปใช้ถนนเป็นเส้นทางสัญจรมากขึ้น ส่งผลให้ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการค้าที่ตลาดสามชุกเริ่มซบเซา แต่ตลาดสามชุกก็ยังคงดำเนินวิถีของตลาดห้องแถวไปอย่างต่อเนื่องด้วยความที่วิถีชีวิตและลักษณะทางกายภาพของชุมชนตลาดสามชุกมีกาลเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามานับร้อยปี เหตุนี้ประชาคมชาวตลาดสามชุกจึงได้มีการปรับปรุง ฟื้นฟู และร่วมกันอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไม้ของตลาดสามชุกไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม รวมทั้งพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และแหล่งเรียนรู้ของชุมชน เพื่อให้ตลาดสามชุกกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

การเดินทาง สู่ตลาดสามชุก จากกรุงเทพฯ ผ่าน อ. บางบัวทอง จ. นนทบุรี ไปจนถึงตัว จ.สุพรรณบุรี ระยะทางประมาณ 107 กม. จากนั้นไปตามหลวงหมายเลข 340 แยกเข้า อ. สามชุก ตัวตลาดอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณติดกับที่ว่าการอำเภอสามชุก
การเดินทางโดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ เข้าถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ข้ามสะพานพระราม 4 แยกเข้าถนนชัยพฤกษ์ วนขึ้นสะพานต่างระดับชัยพฤกษ์ ทางหลวงหมายเลข 345 สังเกตป้ายทางหลวง บางบัวทอง-สุพรรณบุรี ประมาณ 5 กิโลเมตร ถึงสะพานต่างระดับบางบัวทอง แยกเข้าถนนทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี-ชัยนาท ตรงไปทางตัวเมืองสุพรรณบุรี ผ่านแยกศรีประจันต์ไปแล้ว จะเห็นแยกซ้ายมือเข้า อำเภอสามชุก
การเดินทางโดยรถประจำทาง/รถตู้ มีรถโดยสารจากกรุงเทพฯไปสุพรรณบุรี หลายเส้นทางด้วยกัน รถที่ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ มีทั้งรถธรรมดาและปรับอากาศ
การเดินทางโดยรถไฟ มีรถไฟไปจังหวัดสุพรรณบุรีทุกวัน รายละเอียดสอบถามได้ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย
สถานที่จอดรถ สามารถจอดรถได้ด้านในบริเวรเวณหน้าที่ว่าการอำเภอ และด้านนอกก่อนถึงตลาดไม่ไกลมากนักโดยมีบริการที่จอดรถของเอกชนคอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้


อาหาร


หมูแดดเดียวเจ๊กิมยี่
เจ้าเก่าดั้งเดิม เนื้อนุ่ม หอม อร่อยเข้มข้นกลมกล่อม ใช้เนื้อหมูคัดพิเศษอย่างดี คลุกเคล้าด้วยเครื่องปรุงอย่างพิถีพิถัน ใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี จำหน่ายทั้งแบบสดและทอดพร้อมรับประทาน เจ๊กิมยี่ หมูแดดเดียวของดีตลาด 100ปี สามชุก




เจ๊ตี๋ เป็ดย่าง เป็ดพะโล้ สูตรไหหลำ (เจ้าเก่า)
ร้านเจ๊ตี๋ จำหน่ายเป็ดย่าง เป็ดพะโล้ เนื้อนุ่ม หอม อร่อยเข้มข้นด้วยสูตรไหหลำแท้ พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดใช้ผลิตภัณฑ์สดใหม่ทุกวัน พร้อมเครื่องปรุงสมุนไพรจีนคัดพิเศษ ประกันสินค้าคุณภาพ รสชาดถูกปาก ราคาถูกใจ สินค้าผลิตเพิ่มเติมทั้งวันจึงสดใหม่และอร่อย เปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2499




นิสาลูกชิ้นยักษ์
ลูกชิ้นร้านนี้ใหญ่เท่าชามก๋วยเตี๋ยว หากมองจากด้านหน้าร้าน จะพบกับลูกชิ้นขนาดใหญ่วางเรียงอยู่ในตู้ถึง 3 ตู้ แม้ว่าร้านนิสาลูกชิ้นหมูยักษ์จะเป็นตึกแถวไม่ใหญ่โต แต่ก็มีป้ายบอกทางชัดเจน บวกกับชื่อเสียงที่โด่งดังทำให้ร้านนี้หาไม่ยาก
เมนูแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ, ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก, ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส, ข้าวมันไก่, ข้าวราดแกง, เย็นตาโฟ
นอกจากจะขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูยักษ์แล้ว ทางร้านนิสายังมีบริการรับสั่งทำลูกชิ้นตามออร์เดอร์ จำหน่ายลูกชิ้นทั้งปลีกและส่ง จุดเด่นของลูกชิ้นหมูที่คุณนิสาบอก คือลูกชิ้นหมูยักษ์นี้เป็นสูตรโบราณที่เป็นต้นตำรับ มีเจ้าแรกและเจ้าเดียว หากไม่ใช่ลูกชิ้นยักษ์ที่ตลาดสามชุกแล้ว ก็ไม่ใช่ของแท้เพราะหารับประทานไม่ได้ที่ไหน นอกจากที่นี่เท่านั้น



ของฝาก


เอี่ยมเจริญ (บ้านพิพิธภัณฑ์เล่นได้)
ของเล่นสังกะสีโบราณ (Tin Toy) โมเดลรถยนต์, โมเดลเครื่องบิน (สายการบินต่าง ๆ) และงานไม้ มีมากมายหลายรูปแบบ



ร้าน ”ไอ๊หยา” ของเล่นซอย 2
จำหน่าย ของเล่น สังกะสี ของเล่น โบราณ แสนน่ารัก หาซื้อได้ยาก มีทั้ง หุ่นยนต์สังกะสี หุ่นยนต์ตีกลอง มอเตอร์ไซด์สังกะสี รถยนต์สังกะสีหลายแบบ เครื่องบินสังกะสี รถไฟสังกะสี ชิงช้า ม้าหมุนสังกะสี เรือสังกะสี และอื่นๆ อีกมากมาย จำหน่ายตุ๊กตามวยไทย ซึ่งทำจากไม้กระถิน มีท่าทางหลายแบบให้เลือก อาทิเช่น ยกเขาพระสุเมรุ, จรเข้ฟาดหาง เป็นต้น อีกทั้งยังจำหน่ายกระปุกออมสินที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่และตบแต่งด้วยตุ๊กตามวยไทย ราคาไม่แพงอย่างที่คิด




สามชุกใจเย็น
ขายกุนเชียงปลากราย, กุ้งสดพริงไทยดำ, เค็ก 4 รส, สารี่ 7 รส, กาละแมโบราณ, หมี่กรอบโบราณ, หมี่กรอบสัปปะรด, แคปหมูไร้ไขมัน, ท๊อฟฟี่ถั่วตัด, ขนมเปี๊ยฉ่องเฮง และ บะจ่างรสเด็ด (ไส้เค็ม)





อรุณสวัสดิ์สามชุก
ขายเสื้อยืด, กระเป๋า, โปสการ์ด, ของเล่น และ ของสะสมสมัยก่อน

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จังหวัดกาญจนบุรี


" แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่น้ำตก "

กาญจนบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางที่มีผู้คนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว เต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ตั้งของสะพานข้ามแม่น้ำแควซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็น ป่าเขาลำเนาไพร ถ้ำหรือน้ำตก

กาญจนบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 129 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่ามีทั้งป่าโปร่งและป่าดงดิบ มีแม่น้ำสำคัญสองสายคือ แม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อยซึ่งไหลมาบรรจบรวมกันเป็นแม่น้ำแม่กลองที่บริเวณอำเภอเมืองกาญจนบุรี กาญจนบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น 13 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอบ่อพลอย อำเภอเลาขวัญ อำเภอพนมทวน อำเภอไทรโยค อำเภอสังขละบุรี อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอท่ามะกา อำเภอท่าม่วง อำเภอทองผาภูมิ อำเภอด่านมะขามเตี้ย อำเภอหนองปรือ และอำเภอห้วยกระเจา
--------------------------------------------------------------------------------
ประวัติและความเป็นมา :

พื้นที่กว้างใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้ง จ.กาญจนบุรี ในปัจจุบัน มีประวัติความเป็นมา ที่ต่อเนื่อง และยาวนาน ประวัติ หน้าสุดท้ายของกาญจนบุรี ย้อนกลับไปเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์หน้าแรก ได้อย่างบังเอิญ เมื่อเชลยศึก ที่ถูกเกณฑ์ มาสร้างทางรถไฟคนหนึ่ง ค้นพบเครื่องมือหิน ของมนุษย์ ก่อนประวัติศาสตร์ ระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟ บริเวณ สถานีบ้านเก่า ต.จระเข้เผือก อ.เมือง ทำให้เกิดการขุดค้นทางโบราณคดี และสามารถ ค้นพบหลักฐานของ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมาก แม้จนถึงปัจจุบันยังขุดพบอยู่

ในสมัยทวารวดี ซึ่งอยู่ในสมัยประวัติศาสตร์ ของ ประเทศไทย พบซาก โบราณสถาน และ โบราณวัตถุ ที่ ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี (ปัจจุบัน เป็นพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนเขาแหลม ) ซึ่งเป็นเจดีย์ ลักษณะเดียวกับ จุลประโทณเจดีย์ จ.นครปฐม เจดีย์ ที่บ้านคูบัว จ.ราชบุรี และที่เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี นอกจากนี้ ยังพบฐาน เจดีย์ และ พระพิมพ์ สมัยทวารดี จำนวนมาก ที่ บ้านท่าหวี ริมแม่น้ำแควใหญ่ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง อีกด้วย แสดงว่าในสมัยนั้น พื้นที่ ริมแม่น้ำหลายแห่ง ซึ่งเป็นเส้นทาง คมนาคม สำคัญ มีชุมชน หรือ เมืองโบราณ ซึ่ง มีความสัมพันธ์ กับชุมชน โบราณ ใกล้เคียงกัน

ในสมัย พุทธศตวรรษ ที่ 16-18 ขอม ได้แผ่อิทธิพล เข้ามาใน ประเทศไทย ซึ่งพบหลักฐานสำคัญ คือ ปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีลักษณะเป็น ศิลปะขอม สมัยบายน มีอายุในช่วงสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในพุทธศตวรรษที่ 18 นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานที่เป็นศิลปะขอม สมัยเดียวกัน ที่เมืองครุฑ และ เมืองกลอนโด อ.ไทรโยค

ในสมัย สุโขทัย พบหลักฐาน ในพงศาวดารเหนือ ว่า กาญจนบุรี ตกเป็นเมืองขึ้น ของ สุพรรณบุรี ตามที่กล่าวว่า พญากง ได้มาครอง เมือง กาญจนบุรี แต่ก็ไม่มีหลักฐานอื่น มาสนับสนุน ต่อมา ในสมัย อยุธยา กาญจนบุรี มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ โดยตัวเมือง ตั้งอยู่ ที่บ้านท่าเสา ต.ลาดหญ้า ใกล้เขาชนไก่ และ ยังปรากฏ หลักฐาน เป็นซากโบราณสถาน และ โบราณวัตถุ ดังที่เห็นในปัจจุบัน

กาญจนบุรี ยังคงเป็นเมืองหน้าด่าน สืบเนื่องมาจนถึง สมัยกรุงธนบุรี และ รัตนโกสินทร์ โดย ในสมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมือง กาญจนบุรี มาตั้งใหม่ ที่บ้าน ปากแพรก เพื่อมาตั้งรับทัพ พม่า ที่เดินทัพ ลงมาตามลำน้ำแม่กลอง เพื่อเข้าตี กรุงเทพฯ ได้มีการสร้างกำแพงล้อมรอบเมือง อย่างมั่นคง ใน สมัยรัชกาลที่ 3 และให้มีเจ้าเมือง คือ พระประสิทธิสงคราม นอกจากนั้น ยังตั้งหัวเมืองเล็กๆ ตามรายทาง เป็นหน้าด่านอีกเจ็ดแห่ง

สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการจัดรูปแบบการปกครองประเทศใหม่ เป็นมณฑลเทศาภิบาล เมือง กาญจนบุรี ถูกโอนมาขึ้นกับมณฑล ราชบุรี และ แบ่งการปกครองเป็นสามอำเภอ คือ อ.เมือง อ.เหนือ (ปัจจุบันคือ อ.ท่าม่วง) และ อ.ใต้ (ปัจจุบัน คือ อ.พนมทวน) และต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2467 ได้ตั้งอำเภอเพิ่มอีกสองแห่ง คือ อ.ท่ามะกา และ อ.ทองผาภูมิ กับ กิ่ง อ.สังขละบุรี

ในช่วงสงคราม มหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่น ตัดสินใจสร้างทางรถไฟ สาย ไทย - พม่า เชื่อมจากสถานีหนองปลาดุก จ.ราชบุรี ผ่าน กาญจนบุรี เลาะริมแม่น้ำแควน้อย ไปเชื่อมกับ ทางรถไฟ ที่สร้างมาจาก พม่า ที่ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นทางรถไฟ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และมีผู้คนจำนวนมาก เดินทางมาเยี่ยมชม เพื่อคาราวะ ต่อดวงวิญญาณ ผู้เสียชีวิต และรำลึก ถึงความโหดร้าย ทารุณ ของ สงคราม

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

395ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย

บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติสาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆรวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบัน
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า ใกล้เมืองกูอิงบรา ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่าง ค.ศ.1509-1512 เมื่ออายุ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ.1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว ในอินเดียใน ค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1558รวมเป็นเวลา 21 ปี ของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน
ปินโตเคยเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้ง และถูกจับเป็นทสถึง 13 ครั้ง ชีวิตในเอเชียของปินโตเคยผ่านการเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนศาสนา เมื่อเดินทางกลับไปถึงโปรตุเกสในปี ค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ ใกล้เมืองอัลมาดา ทางใต้ของโปรตุเกส
หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปป์ที่1 ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีขิงปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม



บ้านหล่อชา ตั้งอยู่ริมถนนสายท่าตอน-แม่จัน จากลานทองวิลเลจ เลี้ยวซ้ายตามทางหลวงหมายเลข 1089 แม่จัน-ท่าตอน จนถึงสามแยกกิ่วสะไตระหว่างหลัก กม.54-55 ผ่านป้อมตำรวจแล้วตรงไปอีกประมาณ 1 กม.สังเกตหมู่บ้านจะอยู่ทางซ้ายมือ “อาข่า” เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าหนึ่งที่อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ลงมาอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว มักเรียนกตนเองว่า “อาข่า” ในขณะที่คนไทยเรียกว่า
“ก้อ” หรือ “อีก้อ” ซึ่งชาวอาข่าจะไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก การแต่งกายของชนเผ่านี้มักเป็นผ้าฝ้ายทอย้อมเป็นสีเข้มเกือบดำ โดยเฉพาะผู้หญิงจะมีเครื่องประดับมากมาย เช่น หมวกมักประดับด้วยเครื่องเงิน เหรียญเงิน มากน้อยตามฐานะ สลับด้วยพู่สีแดงสดใสสวมเสื้อแขนตรงกระโปรงสั้นเหนือเข่า มีผ้าคาดเอวและปลอกน่องที่มีสีสัน ส่วนอาข่าผู้ชายมักจะสวมเสื้อคอกลมแขนยาวผ่าหน้า กางเกงขาก๊วยไม่มีการตกแต่ง ในบางโอกาสจะใช้ผ้าโพกหัวสีดำ
อาข่ามีความเชื่อในวิญญาญและธรรมชาติ เพราะไม่ปรากฏว่ามีการนับถือศาสนามาก่อน แต่มี “บัญญัติอาข่า” ซึ่งหมายรวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี และการดำเนินชีวิตต่างๆ โดยเน้นหลักการเคารพบูชาบรรชนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้านภูติผี วิญญาญ จึงมักมีพิธีเช่นบรรพบุรุษและภูติผีเป็นประจำ ตัวอย่างความเชื่อเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจนที่หมู่บ้านของอาข่าแต่ละที่ จะพบประตูเข้าหมู่บ้านที่เรียกว่า “ประตูผี” เชื่อว่าเป็นการแบ่งเขตแดนระหว่างผีกับคนจนกลายเป็นธรรมเนียมที่ทุกหมู่บ้านต้องสร้างประตูนี้ พวกที่เคร่งไสยศาสตร์เมื่อจะเข้า-ออกหมู่บ้านต้องผ่านประตูนี้เท่านั้น ถือว่าเป็นการล้างมลทินภูติผีที่ติดตัวมาจากข้างนอก ผู้ที่ผ่านไปมาไม่ควรไปแตะต้องประตูหรือสิ่งของใดๆที่ประตูนี้ทั้งสิ้น
โครงการหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนมีส่วนร่วม เป็นอีกโครงการหนึ่งที่สนับสนุนโดย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (พีดีเอ-เชียงราย)จัดตั้งขึ้นเป็นโครงการนำล่อง ก่อนที่จะเผยแพร่การพัฒนาแบเดียวกันนี้สู่หมู่บ้านชาวอาข่าเผ่าอื่นๆต่อไป นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับวิถีการดำเนินชีวิตประจำตัวตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจมากอีกโครงการหนึ่ง

**อัตราค่าเข้าชม เพียงคนละ 40 บาท เท่านั้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน โทร 053-719-167



เทศกาลประเพณีโล้ชิงช้า ของชาวอาข่า
ตำนานการโล้ชิงข้า ของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าได้เล่าถึงประเพณีการโล้ชิงช้าว่า เกิดขึ้นในสมัยที่อาข่าได้ตั้งถิ่นฐานที่มณฑลยูนนานทางแถบตอนใต้ของประเทศจีน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2000 ปีเศษ ซึ่งตามตำนานนั้น น่าจะเป็นอาณาบริเวณเมือง “คุณหมิง” ในปัจจุบัน การบอกเล่าของชาวอาข่าจะใช้ภาษาเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า ดินแดนของ “จาแด” ประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอาข่า เป็นตำนานการเล่าขานที่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเกิดขึ้นในสมัยใด แต่ในบทเพลงที่ขาวอาข่าร้องช่วงมีเทศกาลนั้นปรากฏว่าเทศกาลโล้ชิงช้าเป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นจากผู้หญิงเป็นผู้เริ่มโดยกำหนดประเพณีโล้ชิงช้าในเดือน “ฉ่อลาบาลา” ตรงกับปลายเดือนสิงหาคม-ถึงต้นเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งจากตำนานได้เล่าว่า ผู้นำในสมัยนั้น นึกอยากจะแกล้วให้คนจนประสบความทุกข์ยากลำบาก จึงได้มีกำหนดพิธีการโล้ชิงช้าเป็นเวลา 33 วัน ซึ่งช่วงเวลาที่มีพิธีกรรมนั้น ประสงค์อยากให้คนจนอดตายเพราะโดยปกติเวลาที่มีพิธีกรรมห้ามทำมาหากินเมื่อเป็นเช่นนี้ คนจนจึงได้ตระเตรียมผลไม้เผือกมันที่มีอยู่ในป่าเอามาเก็บไว้ในบ้านเป็นจำนวนมาก ส่วนคนรวยก็เตรียมเช่นกัน เพื่อที่จะมีไว้บริโภคในช่วงเทศกาลโล้ชิงช้า เมื่อเริ่มพิธีกรรมได้ระยะหนึ่ง พวกคนรวยที่เตรียมข้าวสารไว้บริโภคนั้นเริ่มหมดก่อน ส่วนคนจนยังมีพอจะกินเพราะเตรียมไว้มาก ดังนั้นคนรวยที่คิดจะแกล้ง คนจนให้อดตายนั้นไม่เป็นตามที่คาดไว้ ดังบทเพลงโล้ชิงช้าจะมีอยู่ตอนหนึ่งว่า “คิดอยากจะโลชิงช้า คนรวยจะตายก่อน “ด้วยเหตุนึ้จึงได้ย่นพิธีกรรมจัดเทศกาลโลชิงช้ามาเป็นเวลา 4 วัน ดังปัจจุบันซึ่งถือเอาวันที่ว่างและมีฝนตกมากมาจัดพิธีกรรม อาข่าเรียกเทศกาลโล้ชิงช้านี้ว่า “แย้ ขู่ จ๋า เออ”แปลว่า “กินในหน้าฝน” ดังนั้นการจัดพิธีโลชิงช้าจึงจัดเพื่อเป็นการฉลองให้กับพืชผล ที่มีความเจริญงอกงามและรอการเก็บเกี่ยว ตลอดจขนการรำลึกและให้เกียรติกับสตรี การจัดการประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอาข่าจะเริ่มในวันความโดยส่วนใหญ่เพราะถือว่าเป็นวันฤกษ์ดีโดยมีกำหนด 4 วัน มีขั้นตอนพิธีกรรมดังนี้

วันที่ 1
ตามปกติโดยส่วนใหญ่ วันแรกของการเริ่มเทศกาลนั้นจะตรงกับวันของอาข่าคือวัน “ควาย” ซึ่งจะเป็นการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ในวันแรกการทำพิธีกรรมจะประกอบด้วยเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ดังนี้
- ไก่ขนสีดำหรือสีแดง จะเป็นเพศผู้หรือเพศเมียก็ได้จำนวน 1 ตัว ยกเว้นขนสีขาวห้ามมาใช้ในพิธีกรรมเพราะอาข่าถือว่าไม่บริสุทธิ์
- ข้าเหนียวดำ (ข้าวปุก)อาข่าเรียกว่า “ห่อ-ถ่อง”
- เหล้า ที่ใช้ในพิธีกรรม ชาวอาข่าเรียกว่า “จี้ป่าจี้จุ” โดยใส่กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ซึ่งถือว่าเป็นเหล้าบริสุทธิ์
- ใบชากับขิง ใส่รวมกัน ชาวอาข่าเรียกว่า “แซ ถ่อง หละ แพ้”เพื่อใช้แทนเป็นน้ำชา
- ข้าวเหนียวบริสุทธิ์ ชาวอาข่าเรียกว่า “ห่อซ้อ”
- อุปกรณ์ขันโตก / ถ้วย / จอกน้ำ
พิธีกรรมเซ่นไหว้จะจัดในช่วงเวลา 11.00 น.-12.00 น.ตอนกลางคืนจะเต้นรำพื้นบ้านจนถึงเวลา 24.00 น.

วันที่ 2
ตรงกับวันเสือ(ข่า หล้า)วันนี้เป็นวันสร้างชิงช้าใหญ่ของชุมชน โดยทุกครัวเรือนจะมารวมกันที่บ้านของผู้นำจื่อมะแล้วไปสร้างชิงช้า โดยต่างคนต่างทำหน้าที่ช่วยกันหาต้นไม้สี่ต้นเพื่อมาสร้างเสาชิงช้า และเครือสะบ้าเพื่อมาทำเป็นเชือกในการโล้ เมื่อสร้างชิงช้าเสร็จ จื่อมะถือว่าเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมของชุมชน จะทำพิธีโล้โดยก่อนจะทำการโล้จะใส่สิ่งของ 3 สิ่งคือ หิน หญ้าเจ้าชู้ และเครือหนาม อันมีความหมายว่า หินหมายถึง ความหนักแน่น ความเข้มแข็งของคนและชุมชน หญ้าเจ้าชู้ หมายถึง การแพร่พันธุ์ของคนและผลิตผลต่างๆและเครือหนาม หมายถึง การป้องกันภัยอันตรายที่ไม่ให้เกิดในชุมชน โดยมัดรวมกันแล้วแกว่งโล้ 3 ครั้ง จากนั้นก็จะให้จื่อมะโล้เป็นคนแรก ถือว่าเป็นการเปิดพิธีการโล้ เสร็จแล้วจากนั้นคนอื่นๆ จึงจะโล้ได้ ตอนเย็นจะมีการกระทุ้งกระบอกไม้ใผ่โดยคนหนุ่มสาวจะเต้นรำพื้นบ้านตลอดทั้งคืน

วันที่3
ตรงกับวันลา (ถ่อง ลา )ถือว่าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ มีการประกอบพิธีเซ่นไหว้ตั้งแต่เช้ามืดโดยใช้เครื่องเซ่นไหว้เหมือนวันแรก ยกเว้นจะไม่มีไก่ในการเซ่นไหว้เท่านั้น ส่วนอื่นๆจะเหมือนเดิม การเซ่นไหว้ของวันนี้จะทำในตอนเช้า ไม่ใช่ตอนเที่ยงเหมือนวันแรก เมื่อทำพิธีกรรมเซ่นไหว้ในช่วงเช้าเสร็จแล้วชุมชนจะมีการฆ่าหมูหรือสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เพื่อมาใช้บริโภค ถือว่าเป็นวันที่ชุมชนมีการเลี้ยงฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ตอนกลางคือจะเต้นรำพื้นบ้าน จนถึงเวลา 24.00 น.

วันที่ 4
ตรงกับวันกระต่าย (หล่อง) วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลโล้ชิงช้า ซึ่งจะมีกิจกรรมโล้ลิงช้าเป็นหลัก เมื่อตกตอนเย็น จื่อมะ ผู้นำวัฒนธรรมจะเป็นผู้ทำการปิดการโล้ชิงช้าของปีนั้นจนกว่าจะเวียนบรรจบครบรอบอีกหนหนึ่งถึงจะโล้ชิงช้าได้

ข้อมูลอ้างอิง : ดูข้อมูลทั้งหมดที่เว็บเชียงรายโฟกัสดอทคอม

http://ChiangraiFocus.com