วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

395ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย

บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติสาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆรวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบัน
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า ใกล้เมืองกูอิงบรา ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่าง ค.ศ.1509-1512 เมื่ออายุ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ.1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว ในอินเดียใน ค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1558รวมเป็นเวลา 21 ปี ของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน
ปินโตเคยเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้ง และถูกจับเป็นทสถึง 13 ครั้ง ชีวิตในเอเชียของปินโตเคยผ่านการเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนศาสนา เมื่อเดินทางกลับไปถึงโปรตุเกสในปี ค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ ใกล้เมืองอัลมาดา ทางใต้ของโปรตุเกส
หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปป์ที่1 ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีขิงปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม



บ้านหล่อชา ตั้งอยู่ริมถนนสายท่าตอน-แม่จัน จากลานทองวิลเลจ เลี้ยวซ้ายตามทางหลวงหมายเลข 1089 แม่จัน-ท่าตอน จนถึงสามแยกกิ่วสะไตระหว่างหลัก กม.54-55 ผ่านป้อมตำรวจแล้วตรงไปอีกประมาณ 1 กม.สังเกตหมู่บ้านจะอยู่ทางซ้ายมือ “อาข่า” เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าหนึ่งที่อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ลงมาอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว มักเรียนกตนเองว่า “อาข่า” ในขณะที่คนไทยเรียกว่า
“ก้อ” หรือ “อีก้อ” ซึ่งชาวอาข่าจะไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก การแต่งกายของชนเผ่านี้มักเป็นผ้าฝ้ายทอย้อมเป็นสีเข้มเกือบดำ โดยเฉพาะผู้หญิงจะมีเครื่องประดับมากมาย เช่น หมวกมักประดับด้วยเครื่องเงิน เหรียญเงิน มากน้อยตามฐานะ สลับด้วยพู่สีแดงสดใสสวมเสื้อแขนตรงกระโปรงสั้นเหนือเข่า มีผ้าคาดเอวและปลอกน่องที่มีสีสัน ส่วนอาข่าผู้ชายมักจะสวมเสื้อคอกลมแขนยาวผ่าหน้า กางเกงขาก๊วยไม่มีการตกแต่ง ในบางโอกาสจะใช้ผ้าโพกหัวสีดำ
อาข่ามีความเชื่อในวิญญาญและธรรมชาติ เพราะไม่ปรากฏว่ามีการนับถือศาสนามาก่อน แต่มี “บัญญัติอาข่า” ซึ่งหมายรวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี และการดำเนินชีวิตต่างๆ โดยเน้นหลักการเคารพบูชาบรรชนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้านภูติผี วิญญาญ จึงมักมีพิธีเช่นบรรพบุรุษและภูติผีเป็นประจำ ตัวอย่างความเชื่อเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจนที่หมู่บ้านของอาข่าแต่ละที่ จะพบประตูเข้าหมู่บ้านที่เรียกว่า “ประตูผี” เชื่อว่าเป็นการแบ่งเขตแดนระหว่างผีกับคนจนกลายเป็นธรรมเนียมที่ทุกหมู่บ้านต้องสร้างประตูนี้ พวกที่เคร่งไสยศาสตร์เมื่อจะเข้า-ออกหมู่บ้านต้องผ่านประตูนี้เท่านั้น ถือว่าเป็นการล้างมลทินภูติผีที่ติดตัวมาจากข้างนอก ผู้ที่ผ่านไปมาไม่ควรไปแตะต้องประตูหรือสิ่งของใดๆที่ประตูนี้ทั้งสิ้น
โครงการหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยชุมชนมีส่วนร่วม เป็นอีกโครงการหนึ่งที่สนับสนุนโดย สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (พีดีเอ-เชียงราย)จัดตั้งขึ้นเป็นโครงการนำล่อง ก่อนที่จะเผยแพร่การพัฒนาแบเดียวกันนี้สู่หมู่บ้านชาวอาข่าเผ่าอื่นๆต่อไป นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับวิถีการดำเนินชีวิตประจำตัวตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจมากอีกโครงการหนึ่ง

**อัตราค่าเข้าชม เพียงคนละ 40 บาท เท่านั้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน โทร 053-719-167



เทศกาลประเพณีโล้ชิงช้า ของชาวอาข่า
ตำนานการโล้ชิงข้า ของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าได้เล่าถึงประเพณีการโล้ชิงช้าว่า เกิดขึ้นในสมัยที่อาข่าได้ตั้งถิ่นฐานที่มณฑลยูนนานทางแถบตอนใต้ของประเทศจีน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2000 ปีเศษ ซึ่งตามตำนานนั้น น่าจะเป็นอาณาบริเวณเมือง “คุณหมิง” ในปัจจุบัน การบอกเล่าของชาวอาข่าจะใช้ภาษาเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า ดินแดนของ “จาแด” ประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอาข่า เป็นตำนานการเล่าขานที่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเกิดขึ้นในสมัยใด แต่ในบทเพลงที่ขาวอาข่าร้องช่วงมีเทศกาลนั้นปรากฏว่าเทศกาลโล้ชิงช้าเป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นจากผู้หญิงเป็นผู้เริ่มโดยกำหนดประเพณีโล้ชิงช้าในเดือน “ฉ่อลาบาลา” ตรงกับปลายเดือนสิงหาคม-ถึงต้นเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งจากตำนานได้เล่าว่า ผู้นำในสมัยนั้น นึกอยากจะแกล้วให้คนจนประสบความทุกข์ยากลำบาก จึงได้มีกำหนดพิธีการโล้ชิงช้าเป็นเวลา 33 วัน ซึ่งช่วงเวลาที่มีพิธีกรรมนั้น ประสงค์อยากให้คนจนอดตายเพราะโดยปกติเวลาที่มีพิธีกรรมห้ามทำมาหากินเมื่อเป็นเช่นนี้ คนจนจึงได้ตระเตรียมผลไม้เผือกมันที่มีอยู่ในป่าเอามาเก็บไว้ในบ้านเป็นจำนวนมาก ส่วนคนรวยก็เตรียมเช่นกัน เพื่อที่จะมีไว้บริโภคในช่วงเทศกาลโล้ชิงช้า เมื่อเริ่มพิธีกรรมได้ระยะหนึ่ง พวกคนรวยที่เตรียมข้าวสารไว้บริโภคนั้นเริ่มหมดก่อน ส่วนคนจนยังมีพอจะกินเพราะเตรียมไว้มาก ดังนั้นคนรวยที่คิดจะแกล้ง คนจนให้อดตายนั้นไม่เป็นตามที่คาดไว้ ดังบทเพลงโล้ชิงช้าจะมีอยู่ตอนหนึ่งว่า “คิดอยากจะโลชิงช้า คนรวยจะตายก่อน “ด้วยเหตุนึ้จึงได้ย่นพิธีกรรมจัดเทศกาลโลชิงช้ามาเป็นเวลา 4 วัน ดังปัจจุบันซึ่งถือเอาวันที่ว่างและมีฝนตกมากมาจัดพิธีกรรม อาข่าเรียกเทศกาลโล้ชิงช้านี้ว่า “แย้ ขู่ จ๋า เออ”แปลว่า “กินในหน้าฝน” ดังนั้นการจัดพิธีโลชิงช้าจึงจัดเพื่อเป็นการฉลองให้กับพืชผล ที่มีความเจริญงอกงามและรอการเก็บเกี่ยว ตลอดจขนการรำลึกและให้เกียรติกับสตรี การจัดการประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอาข่าจะเริ่มในวันความโดยส่วนใหญ่เพราะถือว่าเป็นวันฤกษ์ดีโดยมีกำหนด 4 วัน มีขั้นตอนพิธีกรรมดังนี้

วันที่ 1
ตามปกติโดยส่วนใหญ่ วันแรกของการเริ่มเทศกาลนั้นจะตรงกับวันของอาข่าคือวัน “ควาย” ซึ่งจะเป็นการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ในวันแรกการทำพิธีกรรมจะประกอบด้วยเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ดังนี้
- ไก่ขนสีดำหรือสีแดง จะเป็นเพศผู้หรือเพศเมียก็ได้จำนวน 1 ตัว ยกเว้นขนสีขาวห้ามมาใช้ในพิธีกรรมเพราะอาข่าถือว่าไม่บริสุทธิ์
- ข้าเหนียวดำ (ข้าวปุก)อาข่าเรียกว่า “ห่อ-ถ่อง”
- เหล้า ที่ใช้ในพิธีกรรม ชาวอาข่าเรียกว่า “จี้ป่าจี้จุ” โดยใส่กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ซึ่งถือว่าเป็นเหล้าบริสุทธิ์
- ใบชากับขิง ใส่รวมกัน ชาวอาข่าเรียกว่า “แซ ถ่อง หละ แพ้”เพื่อใช้แทนเป็นน้ำชา
- ข้าวเหนียวบริสุทธิ์ ชาวอาข่าเรียกว่า “ห่อซ้อ”
- อุปกรณ์ขันโตก / ถ้วย / จอกน้ำ
พิธีกรรมเซ่นไหว้จะจัดในช่วงเวลา 11.00 น.-12.00 น.ตอนกลางคืนจะเต้นรำพื้นบ้านจนถึงเวลา 24.00 น.

วันที่ 2
ตรงกับวันเสือ(ข่า หล้า)วันนี้เป็นวันสร้างชิงช้าใหญ่ของชุมชน โดยทุกครัวเรือนจะมารวมกันที่บ้านของผู้นำจื่อมะแล้วไปสร้างชิงช้า โดยต่างคนต่างทำหน้าที่ช่วยกันหาต้นไม้สี่ต้นเพื่อมาสร้างเสาชิงช้า และเครือสะบ้าเพื่อมาทำเป็นเชือกในการโล้ เมื่อสร้างชิงช้าเสร็จ จื่อมะถือว่าเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมของชุมชน จะทำพิธีโล้โดยก่อนจะทำการโล้จะใส่สิ่งของ 3 สิ่งคือ หิน หญ้าเจ้าชู้ และเครือหนาม อันมีความหมายว่า หินหมายถึง ความหนักแน่น ความเข้มแข็งของคนและชุมชน หญ้าเจ้าชู้ หมายถึง การแพร่พันธุ์ของคนและผลิตผลต่างๆและเครือหนาม หมายถึง การป้องกันภัยอันตรายที่ไม่ให้เกิดในชุมชน โดยมัดรวมกันแล้วแกว่งโล้ 3 ครั้ง จากนั้นก็จะให้จื่อมะโล้เป็นคนแรก ถือว่าเป็นการเปิดพิธีการโล้ เสร็จแล้วจากนั้นคนอื่นๆ จึงจะโล้ได้ ตอนเย็นจะมีการกระทุ้งกระบอกไม้ใผ่โดยคนหนุ่มสาวจะเต้นรำพื้นบ้านตลอดทั้งคืน

วันที่3
ตรงกับวันลา (ถ่อง ลา )ถือว่าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ มีการประกอบพิธีเซ่นไหว้ตั้งแต่เช้ามืดโดยใช้เครื่องเซ่นไหว้เหมือนวันแรก ยกเว้นจะไม่มีไก่ในการเซ่นไหว้เท่านั้น ส่วนอื่นๆจะเหมือนเดิม การเซ่นไหว้ของวันนี้จะทำในตอนเช้า ไม่ใช่ตอนเที่ยงเหมือนวันแรก เมื่อทำพิธีกรรมเซ่นไหว้ในช่วงเช้าเสร็จแล้วชุมชนจะมีการฆ่าหมูหรือสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เพื่อมาใช้บริโภค ถือว่าเป็นวันที่ชุมชนมีการเลี้ยงฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ตอนกลางคือจะเต้นรำพื้นบ้าน จนถึงเวลา 24.00 น.

วันที่ 4
ตรงกับวันกระต่าย (หล่อง) วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลโล้ชิงช้า ซึ่งจะมีกิจกรรมโล้ลิงช้าเป็นหลัก เมื่อตกตอนเย็น จื่อมะ ผู้นำวัฒนธรรมจะเป็นผู้ทำการปิดการโล้ชิงช้าของปีนั้นจนกว่าจะเวียนบรรจบครบรอบอีกหนหนึ่งถึงจะโล้ชิงช้าได้

ข้อมูลอ้างอิง : ดูข้อมูลทั้งหมดที่เว็บเชียงรายโฟกัสดอทคอม

http://ChiangraiFocus.com